
เปิดร้านแว่นตาให้ปัง!
รวมเทคนิคเปิดร้านแว่นแบบมือโปร
ในยุคที่เริ่มเปลี่ยนไป การแข่งขันทางการค้าเพิ่มสูงขึ้น คุณอาจจะกำลังมองหาไอเดียในการเริ่มต้นธุรกิจขนาดเล็กที่มีโอกาสเติบโตสูงในยุคดิจิทัล ซึ่ง “การเปิดร้านแว่นตา” อาจเป็นคำตอบที่ใช่สำหรับคุณ ไม่ว่าจะเป็นแว่นสายตา แว่นกันแดด หรือแว่นแฟชั่น เพราะปัจจุบันแว่นตาไม่ใช่แค่เครื่องมือเพื่อการมองเห็น แต่ยังกลายเป็นแฟชั่นไอเทมที่ตอบโจทย์ทั้งเรื่องบุคลิกภาพไม่ต่างจากเครื่องประดับอื่นๆ และ ตอบโจทย์เรื่องการดูแลสายตาด้วย
ด้วยแนวโน้มของคนไทยที่ใช้หน้าจอมือถือและคอมพิวเตอร์เป็นเวลานานขึ้น ทำให้ความต้องการแว่นตาเพิ่มขึ้นต่อเนื่อง เปิดโอกาสให้ผู้ประกอบการหน้าใหม่ก้าวเข้าสู่ธุรกิจนี้ได้ง่ายขึ้น ด้วยเงินลงทุนที่สามารถปรับขนาดได้ตามความพร้อม พร้อมแนวทางและเทคนิคที่นำไปใช้ได้จริงแม้ไม่มีพื้นฐาน
บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับรูปแบบร้านแว่นตาที่เหมาะสมกับคุณ พร้อมเทคนิคการเริ่มต้นแบบละเอียด ครอบคลุมทุกมิติ ตั้งแต่การลงทุน การบริหารจัดการ ไปจนถึงกลยุทธ์การตลาดออนไลน์ให้ประสบความสำเร็จในยุคการแข่งขันสูง
- เปิดร้านแว่นตาในประเทศไทยแบบไหนดี?
- ตลาดแว่นตาไทย: โอกาสทองที่ใครก็เริ่มได้
- รู้จัก 3 รูปแบบร้านแว่นตายอดนิยมในไทย
- เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของแต่ละรูปแบบ
- ขั้นตอนเปิดร้านแว่นตาแบบ Step-by-Step
- อุปกรณ์และต้นทุนที่คุณต้องเตรียม
- การตลาดร้านแว่นตายุคใหม่: ไม่ใช่แค่ทำเลดี
- เลือกให้ถูกตั้งแต่แรก: ร้านแว่นตาแบบไหนที่ใช่สำหรับคุณ?
- สรุป: ร้านแว่นแบบไหนตอบโจทย์คุณใน 1-3 ปีข้างหน้า?
- คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเปิดร้านแว่นตา
เปิดร้านแว่นตาในประเทศไทยแบบไหนดี?
การเปิดร้านแว่นตาในประเทศไทยกลายเป็นอีกหนึ่งธุรกิจที่น่าจับตามองในยุคนี้ ไม่ใช่เพียงเพราะความต้องการของผู้บริโภคที่เพิ่มขึ้น แต่ยังเป็นธุรกิจที่มีความหลากหลายให้เลือกลงทุน ไม่ว่าจะเป็นร้านเล็ก ร้านกลาง หรือร้านครบวงจร ผู้ประกอบการสามารถเลือกโมเดลที่เหมาะกับงบประมาณ ความพร้อม และเป้าหมายระยะยาวของตนเองได้อย่างยืดหยุ่น
อย่างที่บอกไปข้างต้นว่าตอนนี้แว่นตาไม่ใช่แค่ “สินค้า” อีกต่อไป ดังนั้นร้านแว่นตายุคใหม่ไม่ได้ขายแค่ “สินค้า” อย่างเดียว แต่ยังเป็นทั้งแฟชั่น เป็นบริการสุขภาพสายตา และเป็นจุดสร้างความสัมพันธ์กับลูกค้าอย่างลึกซึ้ง
ตลาดแว่นตาไทย: โอกาสทองที่ใครก็เริ่มได้
จากพฤติกรรมผู้บริโภคในยุคดิจิทัลที่ใช้เวลาหน้าจอมากขึ้น ทั้งจากมือถือ คอมพิวเตอร์ และแท็บเล็ต ทำให้ปัญหาสายตาเพิ่มขึ้นอย่างรวดเร็ว ประกอบกับเทรนด์สุขภาพและความใส่ใจในบุคลิกภาพ ส่งผลให้ “แว่นตา” กลายเป็นมากกว่าเครื่องมือแก้ปัญหาสายตา แต่กลายเป็นแฟชั่นไอเทมที่ขาดไม่ได้
ในปี 2025 ตลาดร้านแว่นตาในไทยยังคงมีแนวโน้มเติบโตต่อเนื่อง โดยเฉพาะในกลุ่มวัยทำงาน วัยรุ่น และผู้สูงอายุ ทั้งในเมืองและต่างจังหวัด
ธุรกิจนี้ยังถือเป็นโอกาสสำหรับผู้ที่มีเงินทุนจำกัด เพราะสามารถเริ่มต้นแบบค่อยเป็นค่อยไป และขยายต่อได้ตามกำลัง ไม่จำเป็นต้องลงทุนหนักตั้งแต่ต้น หากวางแผนและเลือกทำเลได้อย่างเหมาะสม ก็มีโอกาสสร้างรายได้ดีอย่างยั่งยืน
รู้จัก 3 รูปแบบร้านแว่นตายอดนิยมในไทย
ก่อนจะเริ่มต้นลงทุน ควรทำความเข้าใจให้ชัดเจนก่อนว่า “ร้านแว่นตา” มีได้หลายรูปแบบ แต่ละแบบมีข้อดี-ข้อเสีย และความยากง่ายในการดำเนินงานต่างกัน ซึ่งสามารถแบ่งได้เป็น 3 ประเภทหลัก ๆ ดังนี้
1. ร้านขายแว่นตาทั่วไป (แว่นแฟชั่น / แว่นสำเร็จรูป)
ร้านประเภทนี้เน้นการขายสินค้าเป็นหลัก เช่น แว่นกันแดด แว่นแฟชั่น หรือแว่นสายตาสำเร็จรูป จุดเด่นคือเริ่มต้นได้ง่าย ใช้เงินทุนน้อย และไม่จำเป็นต้องมีความรู้เฉพาะทาง เหมาะสำหรับผู้เริ่มต้นที่ต้องการทดลองตลาด หรือมีงบจำกัด โดยสินค้ามีราคาตั้งแต่หลักสิบถึงหลักร้อย ซึ่งเข้าถึงกลุ่มเป้าหมายได้กว้าง
2. ร้านวัดสายตาพร้อมบริการพื้นฐาน
ร้านแบบนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการเพิ่มความน่าเชื่อถือและให้บริการที่แตกต่างจากร้านขายแว่นแฟชั่นทั่วไป ต้องมีเครื่องวัดสายตาเบื้องต้น และมีพนักงานที่ผ่านการอบรมเรื่องสายตา สามารถให้คำแนะนำลูกค้าได้เบื้องต้น เพิ่มโอกาสในการปิดการขายแว่นตาที่เหมาะสมกับลูกค้า
3. ร้านแว่นตาครบวงจร (One-stop service)
เป็นร้านขนาดใหญ่ที่ให้บริการแบบมืออาชีพครบถ้วน ทั้งการวัดสายตาด้วยอุปกรณ์ทันสมัย ตัดเลนส์ภายในร้าน และตรวจวัดโดยช่างแว่นหรือจักษุแพทย์ เหมาะกับผู้ที่มีเงินทุนสูง ต้องการสร้างแบรนด์ของตัวเอง และวางแผนธุรกิจระยะยาว จุดแข็งของร้านแบบนี้คือรายได้ที่หลากหลาย ความเชื่อมั่นของลูกค้าสูง และโอกาสในการเติบโตที่มั่นคง
เปรียบเทียบข้อดี-ข้อเสียของแต่ละรูปแบบ
ประเภทร้าน | ข้อดี | ข้อเสีย | งบลงทุนโดยประมาณ |
---|---|---|---|
ร้านแว่นแฟชั่น / สำเร็จรูป | – เริ่มต้นง่าย – ลงทุนต่ำ – ไม่ต้องมีความรู้เฉพาะทาง | – รายได้ต่อเดือนน้อย – ลูกค้าซื้อซ้ำไม่บ่อย – ขาดความน่าเชื่อถือในระยะยาว | 20,000 – 100,000 บาท |
ร้านวัดสายตาพร้อมบริการพื้นฐาน | – เพิ่มความน่าเชื่อถือ – ให้คำแนะนำลูกค้าได้ – โอกาสปิดการขายสูงขึ้น | – ต้องลงทุนเครื่องวัดสายตา – ต้องจ้างหรืออบรมพนักงาน – อาจต้องขอใบอนุญาต | 100,000 – 300,000 บาท |
ร้านครบวงจร One-stop service | – รายได้หลากหลาย – ลูกค้าเชื่อมั่นสูง – เหมาะกับสร้างแบรนด์ระยะยาว | – ใช้เงินลงทุนสูง – บริหารจัดการยากกว่า – คืนทุนช้ากว่าร้านทั่วไป | 300,000 – 1,000,000+ บาท |
*** งบลงทุนโดยประมาณเป็นค่างบคร่าวๆ เท่านั้น ทั้งนี้งบลงทุนสามารถปรับเปลี่ยนได้ตามสต็อกของสินค้า จำนวนพนักงาน ขนาดของร้าน การตกแต่งร้าน และปัจจัยอื่นๆ
ขั้นตอนเปิดร้านแว่นตาแบบ Step-by-Step
ไม่ว่าคุณจะเลือกร้านแบบไหน ต่อไปนี้คือขั้นตอนการเริ่มต้นที่ควรรู้:
เลือกทำเลที่ตั้ง: เลือกทำเลที่มีคนพลุกพล่าน เช่น ใกล้โรงเรียน โรงพยาบาล ตลาด หรือในเขตชุมชน เพื่อเพิ่มโอกาสในการมองเห็นร้าน
จดทะเบียนการค้า / บริษัท: ควรเลือกประเภทให้ตรงกับโครงสร้างธุรกิจ เช่น บุคคลธรรมดาสำหรับร้านขนาดเล็ก หรือจดทะเบียนนิติบุคคลสำหรับการขยายในอนาคต
ขอใบอนุญาต (ถ้ามีบริการวัดสายตา): ต้องมีช่างแว่นหรือจักษุแพทย์ที่มีใบประกอบโรคศิลป์ประจำร้าน เพื่อให้สามารถให้บริการวัดสายตาได้อย่างถูกต้องตามกฎหมาย
จัดหาอุปกรณ์และสินค้า: เช่น แว่นตาหลากหลายแบบ เครื่องวัดสายตา ชั้นวาง ตู้โชว์ ระบบ POS หรือเครื่องตัดเลนส์สำหรับร้านครบวงจร
ตกแต่งร้านให้น่าเชื่อถือ: แม้จะไม่ต้องหรูหรา แต่ร้านควรสะอาด เรียบร้อย มีแสงสว่างเพียงพอ และจัดวางสินค้าให้ดูน่าเข้าชม
เปิดตัวด้วยโปรโมชั่นเด็ด ๆ: ใช้กลยุทธ์เปิดร้าน เช่น ส่วนลดพิเศษในช่วงแรก แจกแว่นฟรีวันแรก หรือจัดโปรสะสมแต้มเพื่อกระตุ้นการซื้อซ้ำ
อุปกรณ์และต้นทุนที่คุณต้องเตรียม
การเตรียมอุปกรณ์ให้ครบถ้วน ช่วยให้ร้านของคุณดูเป็นมืออาชีพและให้บริการได้อย่างมีประสิทธิภาพ
อุปกรณ์พื้นฐานที่ควรมี:
- ชั้นวางแว่นตา / ตู้โชว์สินค้า
- กระจกแบบตั้งพื้น
- เครื่องวัดสายตาเบื้องต้น (หากมีบริการ)
- โต๊ะตัดเลนส์ (สำหรับร้านครบวงจร)
- ระบบ POS คิดเงิน
- สินค้าในสต็อก เช่น แว่นตา เลนส์ น้ำยาล้าง เคสแว่น
งบประมาณเบื้องต้นโดยประมาณ:
- ร้านทั่วไป: 20,000 – 100,000 บาท
- ร้านวัดสายตา: 100,000 – 300,000 บาท
- ร้านครบวงจร: 300,000 – 1,000,000+ บาท
แหล่งจัดซื้อที่แนะนำ:
ควรเลือกซื้อจากผู้จำหน่ายเฉพาะทาง เช่น HJ Eyewear หรือ เว็บไซต์เครื่องวัดสายตาดอทคอม ซึ่งมักมีแพ็คเกจอุปกรณ์เปิดร้านแบบครบชุด พร้อมให้คำปรึกษาสำหรับผู้เริ่มต้น
การตลาดร้านแว่นตายุคใหม่: ไม่ใช่แค่ทำเลดี
ในอดีต การเปิดร้านแว่นตาอาจเพียงแค่เลือกทำเลดี ๆ แล้วรอลูกค้าเดินผ่านเข้ามา แต่ในยุคดิจิทัล การตลาดออนไลน์กลายเป็นสิ่งสำคัญที่ช่วยให้ร้านเป็นที่รู้จักและแข่งขันได้แม้อยู่ในพื้นที่ที่คนไม่พลุกพล่าน
กลยุทธ์ที่ควรใช้สำหรับร้านแว่นตายุคใหม่ ได้แก่:
- สร้างเพจ Facebook ร้าน
ใส่ข้อมูลร้านให้ครบถ้วน มีรูปภาพสินค้าชัดเจน และอัปเดตบ่อย ๆ พร้อมรีวิวจากลูกค้า เพื่อสร้างความน่าเชื่อถือ - ลงโฆษณา Facebook / Google Ads แบบเจาะกลุ่ม
เลือกกลุ่มเป้าหมายตามพื้นที่ เพศ อายุ หรือความสนใจ เช่น ผู้ที่ค้นหาคำว่า “แว่นตา” หรือ “ตัดแว่นใกล้ฉัน” - ใช้ LINE OA เพื่อสื่อสารกับลูกค้า
ส่งโปรโมชั่น แจ้งสถานะการจัดส่ง และตอบแชทรวดเร็ว ช่วยให้ลูกค้าเก่ากลับมาใช้บริการซ้ำ - ทำคอนเทนต์รีวิวสินค้า/บริการบน YouTube หรือ TikTok
ไม่ว่าจะเป็นวิดีโอการวัดสายตา รีวิวแว่นกันแดด หรือก่อน-หลังตัดแว่นจริง ยิ่งมีเนื้อหาน่าสนใจ ยิ่งเพิ่มยอดเข้าร้าน - จับมือกับธุรกิจท้องถิ่นใกล้เคียง
เช่น คลินิก โรงเรียน หรือร้านตัดผม ทำแคมเปญร่วมกัน ส่งลูกค้าหากันแบบ win-win
การตลาดออนไลน์ไม่เพียงเพิ่มยอดขาย แต่ยังช่วยสร้างแบรนด์ให้เป็นที่จดจำ โดยเฉพาะในกลุ่มคนรุ่นใหม่ที่ค้นหาทุกอย่างผ่านมือถือ
เลือกให้ถูกตั้งแต่แรก: ร้านแว่นตาแบบไหนที่ใช่สำหรับคุณ?
หัวใจสำคัญของการเริ่มธุรกิจไม่ใช่แค่ “เงินทุน” แต่คือการเข้าใจ “เป้าหมายระยะยาว” และ “ความพร้อมของตัวคุณ” มากกว่า
- ถ้าคุณมีงบน้อย และอยากเริ่มต้นแบบไม่เสี่ยงมาก:
เริ่มจากร้านแว่นแฟชั่นหรือแว่นสำเร็จรูป ช่วยให้เรียนรู้ตลาดแบบค่อยเป็นค่อยไป - ถ้าคุณอยากให้ลูกค้าไว้วางใจ และกลับมาใช้บริการซ้ำ:
ร้านวัดสายตาพร้อมบริการ คือคำตอบที่เหมาะสม ช่วยเพิ่มโอกาสในการขายแว่นตาที่เหมาะกับแต่ละบุคคลได้มากขึ้น - ถ้าคุณมองไกลและอยากสร้างแบรนด์ของตัวเอง:
ร้านครบวงจร One-stop service คือทางเลือกที่ตอบโจทย์ในระยะยาว โดยเฉพาะหากคุณต้องการขยายสาขาหรือทำแฟรนไชส์ในอนาคต
เคล็ดลับ: ลองเขียนแผนธุรกิจย่อ ๆ ของคุณ ว่าภายใน 1-3 ปีข้างหน้า คุณอยากให้ร้านของคุณเติบโตอย่างไร แล้วใช้แผนนี้เป็นตัวกำหนด “ร้านรูปแบบไหนที่ใช่” และ “ควรเริ่มต้นแบบใด”
สรุป: ร้านแว่นแบบไหนตอบโจทย์คุณใน 1-3 ปีข้างหน้า?
การเลือกรูปแบบร้านแว่นตาให้เหมาะสมตั้งแต่แรกเริ่ม คือจุดเริ่มต้นของความสำเร็จระยะยาวในธุรกิจนี้ เพราะแต่ละโมเดลมีข้อดี ข้อจำกัด และแนวทางการบริหารที่ต่างกันอย่างชัดเจน ดังนั้นจึงควรเริ่มต้นจากการถามตัวเองว่า…
“อีก 1-3 ปีข้างหน้า คุณอยากเห็นร้านของคุณเป็นแบบไหน?”
ต่อไปนี้คือคำแนะนำแบบเจาะจงตามเป้าหมายของคุณ:
ถ้าคุณต้องการเริ่มต้นง่าย ลงทุนไม่มาก:
ร้านแว่นแฟชั่น / แว่นสำเร็จรูป คือตัวเลือกที่ตอบโจทย์ที่สุด เริ่มได้ทันทีแม้มีงบหลักหมื่น เน้นขายสินค้าให้ได้จำนวนมาก และสามารถทดลองตลาดก่อนขยับขยายได้
ถ้าคุณอยากให้ลูกค้าวางใจ และกลับมาใช้บริการซ้ำ:
ร้านวัดสายตาพร้อมบริการพื้นฐาน จะช่วยสร้างความสัมพันธ์ระยะยาวกับลูกค้า และมีโอกาสสร้างฐานลูกค้าประจำ โดยอาจขยับจากร้านทั่วไปในปีแรก และเพิ่มบริการวัดสายตาในปีต่อ ๆ ไป
ถ้าคุณวางแผนสร้างแบรนด์ เติบโตเป็นระบบ หรือขยายสาขา:
ร้านครบวงจร (One-stop service) คือการลงทุนเพื่ออนาคต เหมาะกับคนที่มองภาพใหญ่ มีกลยุทธ์ชัดเจน และต้องการยืนหยัดในตลาดด้วยคุณภาพและบริการระดับมืออาชีพ
ไม่ว่าคุณจะเลือกเปิดร้านแว่นแบบใด สิ่งสำคัญคือ “ความชัดเจนในเป้าหมาย” และ “การลงมือทำอย่างมีแบบแผน” หากคุณเริ่มต้นจากสิ่งที่คุณถนัด ค่อย ๆ เติบโตจากจุดที่คุณควบคุมได้ ไม่เพียงแต่คุณจะสร้างรายได้ แต่ยังสามารถสร้างธุรกิจที่มั่นคงและยั่งยืนได้อย่างแท้จริง
จำไว้เสมอว่า “ร้านเล็ก เริ่มได้ ถ้าใจใหญ่ และมีแผนชัด”
คำถามที่พบบ่อยเกี่ยวกับการเปิดร้านแว่นตา
เริ่มต้นได้ตั้งแต่หลักหมื่น (20,000 บาท) ไปจนถึงหลักล้าน ขึ้นอยู่กับรูปแบบร้านที่เลือกและระดับบริการที่ต้องการ
ถ้าร้านมีบริการวัดสายตา ต้องมีช่างแว่นหรือจักษุแพทย์ที่มีใบอนุญาตประจำร้านตามกฎหมาย
แนะนำให้ซื้อจากผู้จำหน่ายเฉพาะทาง เช่น HJ Eyewear หรือเว็บไซต์เครื่องวัดสายตาดอทคอม ซึ่งมีแพ็คเกจเปิดร้านครบเซ็ต
เริ่มจากการสร้างเพจ Facebook ร้าน ลงโฆษณาแบบเจาะกลุ่ม และใช้ LINE OA ติดต่อลูกค้า ทั้งหมดสามารถทำได้แม้ไม่มีทีมการตลาด
ประมาณ 6 – 18 เดือน ขึ้นอยู่กับรูปแบบร้าน ทำเลที่ตั้ง และกลยุทธ์การตลาด ถ้ามีจุดขายชัดเจนและบริการดี จะคืนทุนได้เร็วขึ้นมาก