7 วิธีเลือกระบบ POS ให้โดนใจ ดูแลร้านง่ายนิดเดียว อัพเดต 2025

7 วิธีเลือกระบบ POS ให้โดนใจ
ดูแลร้านง่ายนิดเดียว (อัพเดต 2025)

     ระบบ POS (Point of Sale) กลายเป็นหนึ่งในเครื่องมือสำคัญที่ช่วยให้เจ้าของร้านสามารถบริหารจัดการร้านค้าได้ง่ายขึ้นในยุคดิจิทัล ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านกาแฟ ร้านค้าปลีก หรือแม้แต่ร้านขายของชำ การเลือกระบบ POS ที่เหมาะสมไม่เพียงแต่ช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขาย แต่ยังช่วยลดต้นทุน และเพิ่มโอกาสในการเติบโตของธุรกิจอีกด้วย

     บทความนี้จะพาคุณไปรู้จักกับ 7 หลักการสำคัญในการเลือกระบบ POS ที่เหมาะกับร้านของคุณ พร้อมเคล็ดลับและลิงก์บทความเสริมที่จะช่วยให้คุณตัดสินใจได้ง่ายขึ้น หรือคุณสามารถข้ามไปอ่านเนื้อหาที่คุณต้องการได้เลย

1. ประเมินความต้องการของธุรกิจ

     ก่อนจะเลือกระบบ POS มาใช้ในร้าน คุณควรเริ่มจากการรู้จักธุรกิจของตัวเองให้ดีเสียก่อน เพราะระบบ POS ที่ดีควรตอบโจทย์ตรงกับสิ่งที่ร้านคุณต้องการ ไม่ว่าจะเป็นการจัดการสต็อกสินค้า การบริการลูกค้า หรือการวิเคราะห์ยอดขาย

     ไม่ว่าคุณจะเป็นเจ้าของร้านอาหาร, ร้านกาแฟ, ร้านชาไข่มุก, ร้านค้าปลีก, ร้านขายเสื้อผ้า, ร้านขายของชำ หรือว่าเจ้าของธุรกิจประเภทไหน คุณก็ควรรู้ว่าธุรกิจของคุณยังขาดการดูแลในด้านไหนหรือมีปัญหาอะไรบ้าง เพื่อให้คุณได้เลือกระบบ POS ที่มีฟีเจอร์ตอบโจทย์การดูแลธุรกิจของคุณในขั้นตอนต่อไป 

     ตัวอย่างปัญหาที่แต่ละร้านอาจจะต้องเจอ

  • ปัญหาร้านอาหาร – วัตถุดิบเน่าเสีย ต้นทุนสูง กำไรหดหาย
  • ปัญหาร้านกาแฟ – ขายหมดเมื่อไหร่ไม่รู้ สินค้าไม่พอต่อความต้องการของลูกค้า
  • ปัญหาร้านชาไข่มุก – ลูกค้าต้องรอนาน โดยเฉพาะเวลาที่คิวยาว
  • ปัญหาร้านค้าปลีก – สต็อกสินค้าเกิน ไม่รู้ว่าอันไหนขายดีหรือไม่ดี
  • ปัญหาร้านขายเสื้อผ้า – ไม่รู้จักกลุ่มลูกค้าหรือรู้ว่าลูกค้านิยมเสื้อผ้าแบบไหน
  • ปัญหาร้านขายของชำ – สินค้าค้างสต็อก จนต้องทิ้งเปล่า

คุณสามารถเริ่มได้จากการถามตัวเองว่า “ร้านของเรามีปัญหาตรงไหน?” หรือสอบถามพนักงานที่ดูแลแต่ละจุดก็ได้ จากนั้นจดออกมา แล้วใช้เป็นแนวทางในการเลือกฟีเจอร์ของระบบ POS ที่เหมาะสมที่สุด

📌 หากคุณยังจัดการสต็อกด้วย Excel อยู่ ลองอ่านบทความนี้: จัดการสต็อกโดยไม่ใช้ Excel

2. ตรวจสอบอุปกรณ์ที่ต้องใช้ร่วมกับระบบ POS

     หลังจากที่คุณทราบถึงปัญหาที่เกิดขึ้นภายในร้านหรือธุรกิจของคุณแล้ว คุณก็จะสามารถเข้าใจได้คร่าวๆ ว่าคุณต้องการให้ร้านคุณมีฟีเจอร์ไหนในการเข้ามาช่วยเหลือปรับปรุงร้านของคุณเพื่อให้การทำงานในร้านเป็นไปได้อย่างมีประสิทธิภาพมากที่สุด

     ระบบ POS บางเจ้าต้องใช้อุปกรณ์เสริมมากมาย เช่น เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ, เครื่องสแกนบาร์โค้ด, iPad, หรือโน๊ตบุ๊ค ซึ่งอาจทำให้ต้นทุนเพิ่มขึ้นโดยไม่จำเป็นในทางกลับกัน ระบบ POS ที่ออกแบบมาให้ All-in-One เช่นมีหน้าจอฝั่งลูกค้าในตัว หรือรวมเครื่องพิมพ์ไว้ในระบบเดียว จะช่วยให้คุณประหยัดพื้นที่และค่าใช้จ่ายได้มากขึ้น

     อย่าลืมตรวจสอบว่าอุปกรณ์ที่คุณมีอยู่แล้วสามารถใช้กับระบบที่คุณสนใจได้หรือไม่ และอย่าลืมเช็คว่ามีค่าใช้จ่ายแอบแฝงในการซื้ออุปกรณ์เสริมหรือไม่ด้วย และอย่าลืมดูด้วยว่าอุปกรณ์ไหนใช้กับอะไรได้บ้าง จะได้ไม่เสียเงินและเวลาซื้อมาฟรี ๆ  เพราะ POS ที่คุณสนใจอาจจะรองรับแค่อุปกรณ์บางรุ่นเท่านั้น

💡 บทความนี้เปรียบเทียบให้เห็นชัดเจน: เปรียบเทียบเครื่องคิดเงินกับระบบ POS

3. ตั้งงบประมาณสำหรับระบบ POS อย่างชาญฉลาด

     เพราะระบบ POS ไม่ได้มีราคาตายตัว ราคาจะขึ้นอยู่กับฟีเจอร์ที่มีให้ นอกจากนี้ยังขึ้นอยู่กับขนาดของร้านหรือธุรกิจคุณด้วย เช่น จำนวนจุดที่จะใช้อุปกรณ์, จำนวนสาขา, จำนวนพนักงาน, จำนวนสินค้า เป็นต้น บางระบบอาจเป็นแพ็คเกจแบบรายเดือนเริ่มต้นหลักร้อยและแบบรายปีที่ถูกลง ในขณะที่บางระบบมีแพ็คเกจซื้อขาดที่รวมอุปกรณ์พร้อมใช้งานแต่อาจจะไม่สามารถเชื่อมต่อออนไลน์ได้

     ก่อนตัดสินใจซื้อ คุณควรกำหนดงบประมาณโดยพิจารณาจาก:

  • ขนาดร้าน: จำนวนพนักงาน สาขา สินค้า
  • ความซับซ้อนของการขาย: ต้องการแค่เครื่องคิดเงิน หรือระบบจัดการแบบครบวงจร
  • บริการหลังการขาย: การอบรม การรับประกัน การแก้ไขปัญหา

     อย่าลืมว่าระบบ POS เป็นการลงทุนระยะยาว คุณควรที่จะเลือกโดยดูว่าสัญญาการใช้งานเป็นอย่างไร มีการรับประกันอะไรบ้าง การบริการหลังการขายเป็นยังไง ติดต่อยากไหม เพราะการเลือกของที่มีคุณภาพ และบริการดี จะช่วยคุณประหยัดทั้งเวลาและต้นทุนในอนาคต อย่างที่ StoreHub ของเราจะมีทีมพนักงานที่สามารถติดต่อให้ความช่วยเหลือทุกวัน ถ้ามีปัญหาในการใช้งานก็สามารถที่จะติดต่อทีมงานได้ทันที

🧠 อยากรู้ว่าระบบ POS คืออะไร และสำคัญยังไงกับร้าน? อ่านที่นี่เลย: ระบบ POS คืออะไร สำคัญยังไงกับร้านค้า

4. เปรียบเทียบราคาและฟีเจอร์ระบบ POS อย่างละเอียด

     หลังจากที่ตั้งงบประมาณเรียบร้อยแล้ว ขั้นตอนต่อไปคือการนำระบบ POS ที่สนใจมาเปรียบเทียบกันอย่างละเอียด ไม่ว่าจะเป็นเรื่องของราคา รายการฟีเจอร์ รีวิวผู้ใช้งานจริง และคุณภาพการบริการหลังการขาย

     แต่ถ้าดูแล้วยังตัดสินใจไม่ได้ ก็ลองต่อสายตรงไปหาฝ่ายขายของระบบ POS ที่คุณสนใจ เพื่อดูว่าหากคุณตัดสินใจเลือกใช้ของแบรนด์นี้แล้ว บริการหลังการขายจะเป็นยังไง เพราะอย่าลืมว่าเมื่อคุณตัดสินใจเลือกแล้ว พวกเขาจะต้องอบรมการใช้งานให้คุณ

     โดยฟีเจอร์ที่ควรเปรียบเทียบจะต้องตรงกับปัญหาที่คุณมีอยู่ และสามารถแก้ไขปัญหาของธุรกิจคุณได้ เช่น:

  • สต็อกสินค้าเกิน/ไม่พอขาย – ฟีเจอร์การจัดการสต็อกสินค้า (แจ้งเตือนสต็อก, สั่งซื้อสินค้าจากซัพพลายเออร์)
  • ต้องมานั่งทำยอดขายเอง – ฟีเจอร์รายงานการขาย (บอกยอดขายรายชั่วโมง/เรียลไทม์, บอกสินค้าขายดี, ติดตามผลลัพธ์โปรโมชั่น)
  • ไม่รู้จักกลุ่มลูกค้า – ฟีเจอร์ CRM (เก็บข้อมูลลูกค้า, ประวัติการซื้อ, สะสมแต้มให้กับลูกค้า)
  • ลูกค้าหาย อยากเพิ่มยอดขาย – ฟีเจอร์การตลาดเฉพาะตัว และ การตลาดผ่าน SMS
  • พนักงานจอมโกง – ฟีเจอร์บริหารจัดการพนักงาน (จำกัดการเข้าถึงข้อมูล, เวลาเข้า-ออกงาน, การทำงานรายชั่วโมง)
  • อยากเปิดร้านขายออนไลน์ – ระบบ POS ที่ดีจะต้องจัดการได้ครบทั้งหน้าร้านและร้านค้าออนไลน์ และมีฟีเจอร์เชื่อมต่อร้านออนไลน์กับออฟไลน์เข้าด้วยกัน และที่สำคัญต้องให้คุณเปิดเว็บขายของออนไลน์ฟรีด้วย
  • มีหลายสาขา ดูแลไม่ทั่วถึง – ฟีเจอร์ระบบ POS สำหรับร้านหลายสาขา จะต้องช่วยให้ร้านตรวจสอบยอดขาย ถ่ายโอนสต็อก และจัดการแต่ละสาขาได้ง่ายในระบบเดียว

     บางระบบอาจมีให้ทดลองใช้งานฟรีก่อน โดยคุณควรใช้โอกาสนี้ทดสอบจริง เพื่อเปรียบเทียบประสบการณ์ใช้งานจริงให้ชัดเจนที่สุดก่อนที่คุณจะตัดสินใจในการเลือกใช้ระบบใดระบบหนึ่ง

5. สังเกตการใช้งานจริงของระบบ POS

      หลังจากที่หาข้อมูลต่าง ๆ และเปรียบเทียบราคากันไปแล้ว เมื่อคุณตัดสินใจทดลองใช้งานระบบ POS ฟรี ก็ต้องสังเกตด้วยว่าการทำงานของระบบเป็นยังไง, ลื่นไหลพอไหม, เครื่องหน่วงหรือไม่ หรือว่าใช้งานยากไปหรือเปล่า ไม่ว่าระบบจะมีฟีเจอร์ดีแค่ไหน แต่ถ้าใช้งานจริงแล้ว “ไม่ลื่นไหล” ก็อาจกลายเป็นภาระแทนที่จะเป็นผู้ช่วยได้ ลองดูว่า:

  • การใช้งานง่ายหรือซับซ้อนเกินไป?
  • ความเร็วในการตอบสนองของระบบเป็นอย่างไร?
  • ใช้แล้วเกิดปัญหาบ่อยหรือไม่?

     แล้วก็ต้องดูว่าการใช้งานระบบนั้นยากและต้องใช้เวลาฝึกนานไหม ถ้าเป็นแบบนั้นก็อาจจะต้องเดินหน้าหาเจ้าใหม่ หรือ อาจจะหาเจ้าที่มาการอบรมพนักงานให้ก่อนที่จะเริ่มใช้งานระบบ ลองคิดดูสิว่าถ้าเจ้าของร้านอย่างคุณไม่เข้าใจการใช้งานแล้ว คุณจะไปเทรนพนักงานที่ร้านให้ใช้เจ้าเครื่อง POS นี้ได้ยังไง

     นอกจากนี้ อย่าลืมดูฟีเจอร์ด้านการรายงานข้อมูล เช่น กราฟยอดขาย, สินค้าขายดี, หรือการวิเคราะห์โปรโมชั่น ว่าสามารถเข้าใจและนำไปใช้ได้จริงหรือไม่ ขั้นตอนการเก็บบันทึกหรือการถ่ายโอนข้อมูลต่างๆ เป็นยังไง หากพบข้อสงสัยในการใช้งาน อย่าลังเลที่จะสอบถามกับฝ่ายขายหรือทีมสนับสนุนของผู้ให้บริการ เพราะการสอบถามล่วงหน้าจะช่วยลดปัญหาหลังซื้อได้มาก เพราะยังไงก็ดีกว่าการที่จ่ายเงินค่าระบบไปทั้งหมดแล้ว ไม่ได้ใช้งาน หรือใช้งานไม่เป็น

6. ความง่ายในการติดตั้งและการสนับสนุนจากผู้ให้บริการ

    หลังจากที่ตัดสินใจเลือกระบบ​ POS มาใช้งานได้แล้ว คราวนี้ก็ถึงขั้นตอนการติดตั้งตัวระบบกับอุปกรณ์ที่ใช้งานร่วมกันแล้ว คุณจำเป็นต้องเลือกระบบ POS ที่มีการติดตั้งง่ายและมีทีมงานมืออาชีพคอยช่วยเหลือ เพราะเมื่อมีปัญหาแม้ระบบจะดีแค่ไหน แต่ถ้าติดตั้งยาก ไม่มีคู่มือ หรือไม่มีทีมช่วยเหลือ ก็อาจทำให้ใช้งานระบบไม่ได้เต็มประสิทธิภาพ

    ในส่วนของขั้นตอนการติดตั้งระบบ POS นั้นก็จะแตกต่างกันออกไป ขึ้นอยู่กับแบรนด์, อุปกรณ์, ขนาด และคุณสมบัติของตัวเครื่องด้วย ซึ่งทางบริษัทที่ขายระบบให้กับคุณควรจะให้คู่มือติดตั้งมาโดยเรียบร้อย หรือแม้กระทั่งสอนวิธีการติดตั้ง แล้วถ้ายังไม่เข้าใจหรือรู้วิธีติดตั้งอีกก็โทรหาทีมงานได้เลย

     การติดตั้งระบบ POS และการสนับสนุนจากผู้ให้บริการที่ดีควรมี:

  • ขั้นตอนติดตั้งง่าย หรือมีทีมติดตั้งให้ถึงร้าน
  • คู่มือการใช้งานที่เข้าใจง่าย หรือวิดีโอแนะนำ
  • ทีมสนับสนุนที่พร้อมให้ความช่วยเหลือเมื่อเกิดปัญหาทุกวัน

     แบรนด์ที่ใส่ใจลูกค้าจะไม่ทิ้งคุณกลางทาง และสามารถช่วยคุณตั้งแต่วันแรกที่เริ่มใช้งาน ไปจนถึงการอัพเดตระบบในอนาคต อย่างที่สโตร์ฮับของเราก็จะมีทีมงานคอยดูแลตลอดการใช้งาน ถ้ามีปัญหาขัดข้องใด ๆ ลูกค้าก็สามารถติดต่อเข้ามาได้ทันที แล้วทางสโตร์ฮับของเราก็จะช่วยแก้ปัญหาจนคุณสามารถใช้งานได้อย่างแน่นอน

7. ใช้ระบบ POS ให้คุ้มค่าที่สุด

     เมื่อเลือกระบบ POS ที่ตรงกับความต้องการของร้านได้แล้ว ขั้นตอนสำคัญที่มักถูกมองข้ามคือ “การใช้งานให้คุ้มค่าที่สุด” เพราะระบบ POS สมัยใหม่ไม่ใช่แค่เครื่องคิดเงิน แต่ยังเป็นเครื่องมือวิเคราะห์ธุรกิจอย่างชาญฉลาด อย่าลืมสำรวจระบบหลังบ้าน หรือตัวแอพพลิเคชั่นด้วยว่ามีลูกเล่นหรือส่วนเสริมตรงไหน หรือว่ามีอุปกรณ์ไหนที่คุณซื้อมาใช้งานเพื่อให้การดูแลร้านง่ายขึ้นบ้าง

สิ่งที่เจ้าของร้านควรทำเพื่อใช้ระบบ POS ให้เต็มประสิทธิภาพ:

     นอกจากนี้ หากคุณมีความสัมพันธ์ที่ดีกับบริษัทที่ขาย POS ให้กับคุณ ทางบริษัทก็อาจจะมีส่วนช่วยเรียกลูกค้าหรือช่วยขยายธุรกิจของคุณในอนาคตก็เป็นได้ ลองถามบริษัทในเรื่องของการอบรมการใช้งาน ฟีเจอร์ใหม่ ๆ หรือกาารอัพเดต POS ที่ช่วยให้การใช้งานดีขึ้นซึ่งอาจจะได้เคล็ดลับในการใช้ระบบ POS หรือมีการอบรมให้คุณเข้าร่วมฟรี

     หากคุณใช้ระบบ POS ที่มีทีมสนับสนุนให้คำปรึกษาและอัพเดตฟีเจอร์ใหม่อยู่เสมอ เช่น StoreHub คุณจะยิ่งได้เปรียบในการพัฒนาร้านให้เติบโตแบบยั่งยืน

สรุป

     ระบบ POS ที่ดีไม่เพียงช่วยให้คุณจัดการกับงานหน้าร้านได้ง่ายขึ้น แต่ยังเป็นเครื่องมือสำคัญสำหรับการวิเคราะห์ข้อมูล การวางแผนโปรโมชั่น และการสื่อสารกับลูกค้าอย่างเป็นระบบ เจ้าของร้านไม่ต้องเสียเวลาจดยอดขายด้วยมือ ไม่ต้องเดาว่าสินค้าไหนขายดี และไม่ต้องกังวลว่าพนักงานจะทำยอดตกหล่นหรือไม่ เพราะทุกอย่างสามารถดูได้แบบเรียลไทม์ผ่านระบบเดียว

     ในปี 2025 นี้ การแข่งขันทางธุรกิจเข้มข้นยิ่งขึ้น และลูกค้าคาดหวังประสบการณ์ที่รวดเร็วและมีคุณภาพมากยิ่งขึ้น การที่ธุรกิจของคุณมีระบบ POS แบบ All-in-One ที่สามารถจัดการทั้งหน้าร้านและออนไลน์ในระบบเดียว รวมไปถึงการดูแลสาขาต่าง ๆ ได้ จึงกลายเป็นโซลูชันที่ตอบโจทย์ได้อย่างแท้จริง

     หากคุณกำลังมองหาระบบ POS ที่ใช้งานง่าย ครอบคลุมทุกฟีเจอร์สำคัญ และมีทีมงานมืออาชีพคอยให้คำปรึกษาอย่างใกล้ชิด เราขอแนะนำให้คุณลองเริ่มต้นกับ StoreHub POS ที่ได้รับความไว้วางใจจากเจ้าของร้านค้าทั่วประเทศ ด้วยระบบที่ปรับได้ตามขนาดธุรกิจ รองรับการเติบโต และมีการอัปเดตอย่างสม่ำเสมอ คุณจะมั่นใจได้ว่าทุกวันของการทำร้าน จะมีผู้ช่วยดิจิทัลที่คุณไว้ใจได้อยู่เคียงข้าง

     อย่าปล่อยให้การจัดการร้านเป็นเรื่องวุ่นวายอีกต่อไป เริ่มต้นทดลองใช้ระบบ POS ที่เข้าใจร้านของคุณจริง ๆ ได้แล้ววันนี้กับ StoreHub

คำถามที่พบบ่อย

เครื่องคิดเงินแบบดั้งเดิมมักทำได้เพียงรับชำระเงินและพิมพ์ใบเสร็จเท่านั้น แต่ระบบ POS เป็นมากกว่านั้น เพราะสามารถช่วยคุณจัดการสต็อก ติดตามยอดขาย วิเคราะห์ข้อมูลลูกค้า และควบคุมการทำงานของพนักงานได้ในระบบเดียว ถือเป็นเครื่องมืออัจฉริยะสำหรับเจ้าของร้านในยุคใหม่ที่ต้องการบริหารธุรกิจอย่างมีประสิทธิภาพ

อ่านบทความ เปรียบเทียบเครื่องคิดเงินกับระบบ POS ได้ที่นี่

ค่าใช้จ่ายขึ้นอยู่กับรูปแบบการให้บริการของแต่ละผู้ให้บริการ โดยทั่วไปจะมีทั้งแพคเกจรายเดือน เริ่มต้นที่หลักร้อยบาทต่อเดือน เหมาะสำหรับร้านขนาดเล็ก แพคเกจรายปีที่ราคาถูกลงมาเพื่อตอบโจทย์สำหรับร้านค้าที่ต้องการใช้ระยะยาว หรือแบบซื้อขาดที่มาพร้อมอุปกรณ์ครบชุด แต่อาจจะมีฟีเจอร์บางอย่างที่ใช้ไม่ได้เหมือนระบบที่เป็นรายปี ทั้งนี้ราคาของแต่ละแบบจะขึ้นอยู่กับขนาดร้าน ฟีเจอร์ และบริการเสริมที่ต้องการใช้งานด้วย

อุปกรณ์พื้นฐานอาจรวมถึง iPad หรือแท็บเล็ต, เครื่องพิมพ์ใบเสร็จ, ลิ้นชักเก็บเงิน และเครื่องสแกนบาร์โค้ด อย่างไรก็ตาม บางระบบ POS แบบ All-in-One จะรวมทุกอย่างไว้ในเครื่องเดียว ช่วยลดความยุ่งยากในการติดตั้งและประหยัดพื้นที่หน้าร้าน

ใช้งานได้แน่นอน เพราะระบบ POS ที่ดีจะถูกออกแบบให้เข้าใจง่ายแม้สำหรับมือใหม่ มาพร้อมคู่มือ วิดีโอแนะนำ หรือการสอนใช้งานจากทีมซัพพอร์ตโดยตรง เช่น StoreHub ที่มีทีมช่วยเหลือทั้งก่อนและหลังการติดตั้ง ทำให้เจ้าของร้านสามารถใช้งานได้อย่างมั่นใจแม้ไม่มีพื้นฐานเทคโนโลยีมาก่อน

StoreHub POS เหมาะกับร้านค้าทุกประเภท ไม่ว่าจะเป็นร้านอาหาร ร้านกาแฟ หรือร้านค้าปลีก ด้วยระบบที่ครอบคลุมทั้งหน้าร้านและหลังบ้าน ใช้งานง่าย รองรับหลายสาขา มีระบบ CRM ที่ช่วยวิเคราะห์และสื่อสารกับลูกค้า พร้อมทีมสนับสนุนมืออาชีพที่ให้บริการอย่างใกล้ชิดตลอดการใช้งาน

Share this Post

Hey there! Please enter your store name.

.storehubhq.com